การจ้างทนายความโดยตกลงจ่ายค่าจ้างเป็นเปอร์เซ็นต์จากเงินหรือทรัพย์สินที่ชนะคดี หรือ Contingency Fee เป็นประเด็นมีความซับซ้อน

ในอดีตศาลฎีกาไทยได้วางบรรทัดฐานไว้ว่า สัญญาจ้างทนายความที่กำหนดให้ค่าตอบแทนเป็นสัดส่วนจากผลประโยชน์ที่ลูกความจะได้รับจากคดีนั้น ถือเป็นโมฆะ  เหตุผลหลักคือข้อตกลงลักษณะนี้ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน    การที่ทนายความเข้าไปมีส่วนได้เสียทางการเงินโดยตรงในผลของคดี จะทำให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน  สถานะของทนายความซึ่งเปรียบเสมือนเจ้าหน้าที่ของศาล ที่มีหน้าที่อำนวยความยุติธรรม จะเปลี่ยนไปเป็นผู้มีส่วนได้เสียในคดีเสียเอง  การกระทำเช่นนี้ถูกมองว่าเป็นการ ค้าความ ซึ่งบั่นทอนจริยธรรมแห่งวิชาชีพ     อย่างไรก็ตาม แม้สัญญาจะเป็นโมฆะและบังคับใช้ไม่ได้ แต่การกระทำดังกล่าวไม่ถือเป็นการประพฤติผิดมรรยาททนายความตามข้อบังคับของสภาทนายความ  ซึ่งหมายความว่าทนายความจะไม่ถูกลงโทษทางวินัย แต่จะไม่สามารถฟ้องร้องบังคับให้ลูกความจ่ายค่าจ้างตามเปอร์เซ็นต์ที่ตกลงกันไว้ได้   

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5162/2563 เป็นกรณีที่ทนายความรับว่าความฟ้องเรียกค่าส่วนกลางค้างชำระจากเจ้าของร่วมชาวต่างชาติ โดยมีข้อตกลงว่าค่าจ้างจะคิดเป็นอัตราร้อยละของจำนวนเงินที่สามารถบังคับคดีมาได้    ศาลฎีกาได้วินิจฉัยกลับหลักเดิม โดยตัดสินว่าสัญญาจ้างว่าความดังกล่าว ชอบด้วยกฎหมายและสามารถบังคับใช้ได้    เหตุผลที่ศาลฎีกาใช้อ้างอิงในการตัดสินครั้งนี้ถือเป็นเรื่องใหม่และเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญอย่างยิ่ง ศาลได้ให้เหตุผลว่า การยอมรับหลักการโดยกฎหมายอื่น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งได้รับการแก้ไขให้มีเรื่อง การดำเนินคดีแบบกลุ่ม (Class Action) อ้างอิงมาตรา 222/37 ในกฎหมายว่าด้วยการดำเนินคดีแบบกลุ่ม มาตรา 222/37 ได้ให้อำนาจศาลในการกำหนดค่าตอบแทนพิเศษให้แก่ทนายความฝ่ายโจทก์ โดยคำนวณจากจำนวนค่าเสียหายที่ได้รับ การตีความขยายผล ศาลเห็นว่าเมื่อรัฐสภาได้ยอมรับหลักการจ่ายค่าตอบแทนตามผลของคดีในกฎหมายว่าด้วยการดำเนินคดีแบบกลุ่มแล้ว ข้อตกลงในลักษณะเดียวกันที่ทำขึ้นระหว่างเอกชนในคดีแพ่งทั่วไป จึงไม่ควรถูกมองว่าขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนอีกต่อไป     คำพิพากษานี้จึงเป็นการเปลี่ยนมุมมองของศาล โดยนำหลักการที่กฎหมายบัญญัติไว้สำหรับคดีประเภทหนึ่ง มาปรับใช้เป็นเหตุผลสนับสนุนความสมบูรณ์ของสัญญาในคดีทั่วไป

คำพิพากษาฎีกาที่ 5162/2563 ได้สร้างสภาวะ ความไม่แน่นอนทางกฎหมาย ขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  เนื่องจากขณะนี้มีแนวคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ขัดแย้งกันเองอยู่     แนวทางเดิม สัญญาเป็นโมฆะเพราะขัดต่อศีลธรรมอันดี แนวทางใหม่ (ตาม ฎ. 5162/2563) สัญญาสามารถบังคับใช้ได้ สถานการณ์เช่นนี้ทำให้นักกฎหมายและประชาชนทั่วไปตกอยู่ในความสับสนว่าควรจะยึดถือแนวทางใดเป็นหลัก  จนกว่าจะมีกฎหมายที่บัญญัติเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจน หรือมีคำพิพากษาของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเพื่อสร้างบรรทัดฐานที่แน่นอน การเข้าทำสัญญาจ้างว่าความแบบคิดค่าทนายเป็นเปอร์เซ็นต์ในประเทศไทยจึงยังคงมีความเสี่ยงสูง


 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้