คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 521/2562 มีประเด็นสำคัญในเรื่อง อายุความ มูลละเมิด และ หนี้มรดก ซึ่งศาลฎีกาได้วินิจฉัยประเด็นปัญหาสำคัญไว้ 3 ประเด็น ดังนี้

1. การเริ่มนับอายุความในมูลละเมิด: ศาลฎีกายืนยันหลักการว่า การนับอายุความในมูลละเมิดต้องเริ่มนับ "แต่วันที่เกิดความเสียหายเป็นวันที่รู้ถึงการละเมิด" มิใช่นับแต่วันที่รู้ถึงการ กระทำผิดกฎหมาย ซึ่งสอดคล้องกับ ป.พ.พ. มาตรา 420 ที่บัญญัติให้ผู้ทำละเมิดต้องรับผิด "ใช้ค่าสินไหมทดแทน" ก็ต่อเมื่อ "เกิดความเสียหาย" ขึ้นจริง การกระทำที่เป็น "การละเมิด" ตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 จะต้องประกอบด้วย 1) การกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ 2) การกระทำที่ผิดกฎหมาย และ 3) ทำให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น

2. หนี้มรดกจากมูลละเมิด: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า หนี้ที่เกิดจากมูลละเมิดที่ บ. (ผู้ตาย) ร่วมกับจำเลยที่ 1 ทำไว้ก่อน บ. ถึงแก่ความตายนั้น ถือเป็น "หนี้มรดก" ที่ตกทอดแก่ทายาทของ บ. ซึ่งทายาทต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ แต่ไม่ต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ได้รับ หลักการนี้สอดคล้องกับ ป.พ.พ. มาตรา 1601 ที่บัญญัติให้ทายาทรับผิดชอบในหนี้สินของเจ้ามรดก แต่ไม่เกินกว่าทรัพย์มรดกที่ได้รับ

3. อายุความในการฟ้องขอให้ป้องกันมิให้เกิดความเสียหาย: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยร่วมกันทำการป้องกันมิให้เกิดการทรุดพังทลายของดิน ไม่ใช่การฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทน และไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 ศาลฎีกาได้แยกแยะ "การฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทน" ออกจาก "การฟ้องขอให้ป้องกันมิให้เกิดความเสียหาย" ซึ่งมีอายุความที่แตกต่างกัน #ทนายโตน #0945241915


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ญาติมาอาศัย