การขายตรงและตลาดขายตรง: บทวิเคราะห์เชิงกฎหมาย การขายตรงและตลาดขายตรงเป็นรูปแบบการค้าที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เนื่องจากมีความสะดวก รวดเร็ว และเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่าย อย่างไรก็ตาม รูปแบบการค้านี้ก็มีโอกาสที่จะเกิดการละเมิดสิทธิของผู้บริโภคได้เช่นกัน ดังนั้น กฎหมายจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการกำกับดูแล เพื่อสร้างความเป็นธรรมและความสงบเรียบร้อยในสังคม 1. ความหมายและขอบเขตของการขายตรงและตลาดขายตรง พระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 ให้คำนิยาม "การขายตรง" หมายถึง การเสนอขายสินค้าหรือบริการโดยวิธีการที่มิใช่การขายปลีก ซึ่งผู้ขายมิได้ตั้งอยู่ในสถานที่ขายเป็นประจำ ส่วน "ตลาดแบบตรง" หมายถึง การเสนอขายสินค้าหรือบริการโดยวิธีการใช้จดหมาย โทรศัพท์ โทรสาร สื่ออิเล็กทรอนิกส์ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ หรือวิธีการอื่นใดในการติดต่อกับผู้บริโภคโดยตรง จากคำนิยามดังกล่าว จะเห็นได้ว่า การขายตรงเน้นที่ "วิธีการ" ในการเสนอขายที่ไม่ใช่การขายปลีกในสถานที่ตั้งเป็นประจำ เช่น การขายตรงแบบชั้นเดียว การขายตรงแบบหลายชั้น ส่วนตลาดแบบตรงเน้นที่ "ช่องทาง" ในการต...
โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้
การไม่แจ้งออกและไม่จ่ายค่าเช่างวดสุดท้าย: ผลทางกฎหมายและแนวทางแก้ไข จากกรณีศึกษาข้างต้น เกิดประเด็นปัญหาทางกฎหมายที่น่าสนใจ 3 ประการ ได้แก่ 1. การสิ้นสุดสัญญาเช่า หลักกฎหมาย: สัญญาเช่าเป็นสัญญาต่างตอบแทน ผู้เช่ามีหน้าที่ชำระค่าเช่า ผู้ให้เช่ามีหน้าที่ให้เช่าทรัพย์สิน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 537 การบอกเลิกสัญญาเช่าต้องกระทำตามที่กฎหมายกำหนดหรือตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญา (ป.พ.พ. มาตรา 563) หากสัญญาเช่าไม่ได้กำหนดวิธีการบอกเลิกไว้ ให้บอกกล่าวล่วงหน้า 1 งวด (ป.พ.พ. มาตรา 564) วิเคราะห์: กรณีนี้ไม่ได้ระบุว่ามีการตกลงเรื่องการบอกเลิกสัญญาไว้ในสัญญาอย่างไร การที่ผู้เช่าไม่ได้แจ้งออกอาจถือเป็นการผิดสัญญาเช่า ทำให้สัญญาเช่ายังไม่สิ้นสุดลง ผู้เช่ายังคงมีภาระผูกพันต้องชำระค่าเช่าต่อไปจนกว่าจะบอกเลิกสัญญาโดยชอบด้วยกฎหมาย ฎีกาที่เกี่ยวข้อง: ฎีกาที่ 1372/2505 “จำเลยเช่าบ้านโจทก์อยู่ ต่อมาจำเลยออกจากบ้านเช่าโดยมิได้บอกเลิกสัญญา จำเลยต้องรับผิดชำระค่าเช่าบ้านแก่โจทก์ต่อไปจนกว่าโจทก์จะนำบ้านเช่าออกให้เช่าแก่บุคคลอื่นได้” 2. การหักเงินมัดจำ หลักกฎหมาย: เงินมัดจำมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นหลักปร...
ญาติมาอาศัย
ญาติมาอาศัยบ้าน ไล่ไม่ยอมออกไป ปพพ มาตรา 1336 บัญญัติว่า เจ้าของทรัพย์สินมีสิทธิใช้สอย ทำประโยชน์ จำหน่าย หรือทำลายทรัพย์สินของตน และมีสิทธิที่จะไม่ใช้สอย ไม่ทำประโยชน์ หรือไม่จำหน่ายทรัพย์สินนั้นก็ได้" มาตรา 1340 บัญญัติว่า "บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี บุคคลนั้นก็ได้กรรมสิทธิ์" ป.อาญา มาตรา 358 บัญญัติว่า "ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่นหรือผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์" เจ้าของบ้านสามารถฟ้องคดีแพ่ง โดยเรียกร้อง ขอให้ศาลสั่งห้ามมิให้ผู้อาศัยล็อคบ้าน โดยอ้างสิทธิความเป็นเจ้าของตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 เรียกค่าเสียหาย หากพิสูจน์ได้ว่าการล็อคบ้านนั้น ทำให้เจ้าของบ้านเสียหาย เช่น เสียโอกาสในการปล่อยเช่า เสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี แจ้งความดำเนินคดีอาญา หากการกระทำของผู้อาศัยเข้าข่ายความผิดอาญา เช่น ทำให้เสียทรัพย์ หรือ ข่มขืนใจ เจ้าของบ้านสามารถแจ้งความต่อพนักงานสอบสว...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น