สัญญาซื้อขายและนิติกรรมอำพราง

สัญญาซื้อขายและนิติกรรมอำพราง
🔹 สัญญาซื้อขายกับสัญญาขายฝากมีเนื้อหาที่แตกต่างกัน ไม่สามารถใช้แทนกันได้ เนื่องจากสัญญาขายฝากจะต้องมีการไถ่ทรัพย์สินคืน ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 2711/2544 หากคู่สัญญาไม่มีเจตนาผูกพันตามสัญญาขายจริง แต่เป็นการอำพรางสัญญาขายฝาก ถือว่าสัญญาทั้งสองฉบับเป็นโมฆะ
⭐ กรณีที่สัญญาขายฝากถูกอำพรางเพื่อเป็นสัญญากู้ยืมเงิน ดังในคำพิพากษาฎีกาที่ 651/2565 และ 1216/2565 สัญญาขายฝากดังกล่าวตกเป็นโมฆะ ต้องบังคับตามสัญญากู้ยืมที่ถูกอำพราง โดยถือหนังสือสัญญาขายฝากเป็นหลักฐานการกู้ยืม และผู้ขายต้องคืนทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อ
💎 หากคู่สัญญาคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยเป็นโมฆะ ผู้กู้ไม่มีสิทธิเรียกคืนดอกเบี้ยที่ชำระไปแล้ว และผู้ให้กู้ก็ไม่มีสิทธิได้รับดอกเบี้ย ต้องนำดอกเบี้ยที่ผู้กู้ชำระไปหักชำระต้นเงินก่อน
⚠️ การอำพรางสัญญากู้ยืมด้วยการทำสัญญาซื้อขายสินค้าหรือทรัพย์สินโดยกำหนดราคาสูงเกินจริง เพื่อหลีกเลี่ยงข้อห้ามเรื่องดอกเบี้ยเกินอัตรา ถือเป็นการกระทำที่มีลักษณะอำพรางการให้กู้ยืม โดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 250/2564
👉 เมื่อนิติกรรมที่แท้จริงเป็นโมฆะ คู่สัญญาต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 เช่น ในคำพิพากษาฎีกาที่ 2588/2564 คู่สัญญาต้องคืนสิ่งที่ได้รับจากกันและกัน หากมีการทำงานก็ต้องจ่ายค่าจ้างตามสมควร
ดังนั้น การทำสัญญาที่มีเจตนาอำพรางนิติกรรมอื่น หรือมีข้อตกลงที่ขัดต่อกฎหมาย ย่อมทำให้สัญญานั้นตกเป็นโมฆะ คู่สัญญาจึงต้องปฏิบัติตามนิติกรรมที่แท้จริงหรือกลับคืนสู่ฐานะเดิม เพื่อมิให้การแสดงเจตนาเป็นโมฆะหรือพ้นวิสัยตามกฎหมาย #ทนายโตน
อาจเป็นรูปภาพของ 3 คน และ ข้อความ
ดูข้อมูลเชิงลึกและโฆษณา
ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น
แชร์

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ญาติมาอาศัย